1 win casino1win aviatormosbetmosbet casinopin-upmostbet aviator login1 winmostbet1 win azpin up casino1winmosbetpin up bettingparimatchlacky jet4era betmostbet casinoparimatchpin up azerbaijanlucky jet casino1win slot4rabet mirror1 win casinoluckyjet1wınmosbetaviator4rabet bangladesh1 winpin up az1win onlinepin up indialucky jetmostbet azmostbetpin up kz1win1win casino1win saytimostbet aviatorlucky jetmostbetmostbet onlinepinup loginpin uppin up1win login4r betmosbet indiamostbet azaviator mostbet

แนวคิดการทำงานแบบ Single Team

โครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ชูแนวคิดการทำงานแบบ Single Team ตอบโจทย์ก่อสร้างได้เร็วขึ้นแต่ใช้ต้นทุนที่น้อยลง

ในการก่อสร้างอาคารสูงพิเศษ (Super Tower) จะต้องอาศัยความร่วมมืจากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝาย ทั้งเจ้าของอาคาร ที่ปรึกษาผู้ออกแบบและผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อให้ทุกขั้นตอนการก่อสร้างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพ ต้นทุนการก่อสร้าง และระยะเวลาที่กำหนด สำหรับโครงการแม่น้ำเรสชิเดนท์ นอกจากจะนำการบริหารงานก่อสร้าง (Construction Management : CM) มาใช้เฉกเช่นโครงการทั่วไปแล้ยังได้นำแนวคิดการทำงานแบบ Single Team หรือการทำงานแบบทีมเดียวกัน มาช่วยในการบริหารจัดการงานก่อสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีการบริหารการก่อสร้างสมัย ใหม่มาใช้ในการก่อสร้าง เพื่อให้อาคารแข็งแรง มีคุณภาพ ก่อสร้างได้เร็วขึ้น แต่มีต้นทุนการก่อสร้างที่ลดลงโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ บริหารงานโดย เดชา ตั้งสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทแม่น้ำเรสซิเดนท์จำกัด ผู้พัฒนาโครงการแม่น้ำเรสชิเดนท์ โดยมี รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค ประธานกรรมการบริษัท วิศวกรที่ปรึกษาต่อตระกูล ยมนาคและคณะ(TACE) เป็นที่ปรึกษาโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมด้วยทีมงานผู้รับเหมาก่อสร้างจาก บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด ทีมงานสถาปนิกจากบริษัทPalmer&Turner จำกัด ทีมงานออกแบบตกแต่งภายในจาก บริษัท Interior Vision จำกัด และทีมงานออกแบบภูมิสถาปัตย์จาก บริษัท Green Architects จำกัด

แนวทางการทำงานแบบ Single Team

ในการทำงานก่อสร้างทั่วไปจะแบ่งขั้นตอนการทำงานตามลำดับของงาน โดยเริ่มจากเจ้าของโครงการระบุถึงสิ่งที่ต้องการให้สถาปนิกออกแบบ สถาปนิกก็จะทำการออกแบบตามโจทย์ที่เจ้าของโครงการให้ ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ผู้รับเหมารับไปก่อสร้างให้เหมือนรูปแบบที่ผู้ออกแบบได้ออกแบบไว้เมื่อผู้รับเหมาก่อสร้างเสร็จแล้ว จะถึงขั้นตอนที่ผู้ควบคุมงานมาตรวจว่าได้ทำถูกต้องตามแบบและข้อกำหนดหรือไม่ หากทำไม่ถูกต้องตรงตามแบบก็จะสั่งให้ทุบทิ้งและทำใหม่ โดยที่กลุ่มคนต่างๆเหล่านี้แทบจะไม่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงาน ทำให้เกิดช่องว่างในการทำงาน ส่งผลให้งานล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อีกทั้งยังทำให้งบประมาณบานปลาย
แต่ในโครงการแม่น้ำเรสชิเดนท์ถือว่าได้ปฏิวัติการทำงานรูปแบบใหม่ บนแนวคิดของการทำงานแบบ “Single Team” โดยให้ทีมงานทุกฝ่ายทำงานเสมือนหนึ่งเป็นพวกเดียวกัน หรือเป็นทีมเดียวกัน ถึงแม้ว่าต่างคนจะมาจากต่างบริษัทและต่างบทบาทกัน โดยจะร่วมกันทำไปด้วยกันทุกฝาย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ หากเห็นว่าจะเกิดข้อผิดพลาดก็ช่วยกันแก้ไขแม้กระทั่งในรูปแบบที่ทำยาก ซึ่งทำแล้วอาจจะเกิดข้อผิดพลาดและไม่สวยงามก็จะต้องร่วมกันคิดและหาวิธีที่จะทำออกมาแล้วสวยงาม แต่ทำได้ง่ายขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องไปแก้ไขแบบในภายหลัง อาจกล่าวได้ว่าเป็นการหาข้อสรุปที่ดีที่สุดจากทุกความคิดเห็นเพื่อตอบโจทย์งานก่อสร้างที่เร็วขึ้น แต่มีต้นทุนที่ลดลงหลักการทำงานแบบ Single Team จะให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายเท่ากันทุกคนจะมีระดับเท่ากัน และมีสิทธิออกความเห็นด้วยกัน โดยที่ทุกคนต้องมีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพและรวดเร็วตัวอย่างของการประยุกต์ใช้วิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) ในการทำฐานราก ช่วยลดค่าใช้จ่ายประมาณ 40 ล้านบาท ล้วนมาจากการให้ทั้ง3ฝายได้แก่ที่ปรึกษาผู้ออกแบบและผู้รับเหมาตัดสินใจร่วมกันบนเป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งการทำ Lab Room ที่ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นในทุกๆ ปัญหาก็เป็นผลลัพธ์จากการทำงานแบบ Single Team เช่นกันซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างและได้คุณภาพงานที่ดีขึ้น

มุมมองของเจ้าของโครงการ

การทำงานแบบ Single Team คือ การเปิดให้ทุกฝ่าย คือ ที่ปรึกษาผู้ออกแบบและผู้รับเหมาได้มาทำงานร่วมกัน พร้อมเปิดโอกาสให้ได้แสดงข้อคิดเห็นถึงความยากง่ายและความสวยงามของแบบในการก่อสร้าง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้แบบออกมาสวยงาม แต่การก่อสร้างไม่ยาก และใช้งานได้ดี อย่างเช่น ผนัง Corridor ของโครงการฯ ยาวต่อเนื่องกันมาก ทำให้ผู้รับเหมาทำงานลำบาก เพื่อให้ผนังเรียบเสมอกันผู้ออกแบบจึงช่วยเพิ่มส้นแนวผนังซึ่งจะช่วยลดความยาวต่อเนื่องของผนัง และส่งงานได้ง่ายขึ้นในการทำงานแบบ Single Team นี้ เจ้าของโครงการจะทำหน้าที่สรุปและตัดสินใจในข้อที่ขัดแย้งกัน พร้อมกับเปิดโอกาสใหม่ๆ และวิธีใหม่ๆที่จะเกิดประโยชน์ต่อการก่อสร้างที่สำคัญการที่เจ้าของโครงการมีความรู้ทางด้านวิศวกรรม ถือเป็นข้อได้เปรียบทำให้เข้าใจการทำงานของทุกฝ่าย และมีส่วนช่วยให้การทำงานแบบ Single Team บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้เป็นที่ทราบกันดีว่า ที่ปรึกษาจะเป็นผู้ตรวจสอบและควบคุมงานแต่โครงการแม่น้ำเรสชิเดนท์ได้วางแนวคิดให้ที่ปรึกษากับผู้รับเหมาจะต้องเป็นทีมงานเดียวกัน โดยพยายามเปลี่ยน Mindset ของทั้ง 2 ฝ่ายให้ช่วยกันทำงานโดยไม่ขัดแย้งกัน ที่ปรึกษาไม่ได้จำกัดหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบและควบคุมงานเท่านั้น แต่จะต้องเข้ามาช่วยแก้ไข (Solve)ปัญหาต่างๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขณะที่ผู้ออกแบบและผู้รับเหมาต้องช่วยกันเสนอแนวทางที่ตนเองถนัดและทำได้ดีโดยที่ทุกคนต้องประสานงานกันจึงเรียกว่า Single Team คือเป็นทีมเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้การบริหารจัดการราบรื่นแบบที่ได้จะเป็นแบบที่ดีขึ้น สร้างได้จริง รวมทั้งส่งมอบงานที่มีคุณภาพ และตรงตามเวลา

มุมมองของผู้รับเหมาก่อสร้าง

การทำงานแบบ Single Team ของผู้รับเหมาก่อสร้างอย่างบริษัทแสงฟ้าก่อสร้างจำกัด เริ่มจากการจัดตั้งทีมงานภายใน ซึ่งเป็นพนักงาน 40 คน และคนงานประมาณ600คนให้เป็นทีมเดียวกันก่อนโดยไม่มีข้อขัดแย้งในส่วนของการทำงานร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของโครงการ บริษัทที่ปรึกษา ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมารายอื่นที่เป็น Sub contractor ของแสงฟ้าฯ เองและผู้รับเหมาซึ่งเจ้าของโครงการจ้างมารวมทั้งสิ้น 10 บริษัท ทำให้แสงฟ้าฯ ต้องนำการบริหารงานก่อสร้าง(Construction Management: CM) มาใช้ โดยมี Project Coordinator ซึ่งเป็นวิศวกรงานระบบที่จะต้องประสานงานระบบและประสานงานทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ตามแผนงานที่วางไว้โดยแสงฟ้าฯจะแจ้งข้อกำหนดคราวๆให้ทุกฝ่ายเข้ามาประชุมกันแล้วหาข้อสรุปที่ดีที่สุดมาปฏิบัติในโครงการ โดยมีเป้าหมายเป็นที่ตั้งเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้บนกฎกติกาที่มีร่วมกัน จากการสรุปแผนงานร่วมกันพร้อมเขียนแผนงานคราวๆ ซึ่งผ่านการ Approve แผนร่วมกันจากทีมงานทั้ง3ฝ้ายได้แก่เจ้าของที่ปรึกษาและผู้รับเหมา ก่อนที่จะสรุปเป็นแผนที่เรียกว่า Loop Construction และเดินงานตาม Loop Construction เนื่องจากการทำ Loop Construction เป็น Critical Path Method แบบใหม่ โดยจับกลุ่มงานที่สอดคล้องกันมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน Loop ละ7 วันในแต่ละLoop งานจะเป็น Critical Path Method ซึ่งจัดลำดับงานชัดเจนว่าใน 7 วัน ผู้รับเหมารายใดเป็นผู้รับผิดชอบงาน ดังนั้นผู้รับเหมารายใดทำงานช้าก็จะไปกระทบงานผู้รับเหมารายอื่น ซึ่งรับรู้โดย Project Coordinator ที่จะ Monitor การทำงานของผู้รับเหมาทุกรายไว้ ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับและทำงานได้อย่างราบรื่นประโยชน์ที่ได้จากการทำงานแบบ Single Team คือ ข้อขัดแย้งจะน้อยลงมากเนื่องจากมีการคุยกันล่วงหน้าสามารถระบุได้ว่าใครงานผิดพลาด และโอกาสที่งาน Obstruct จะน้อยมาก เนื่องจากมีการวางแผนเป็นอย่างดียกตัวอย่างการทำ Lab Room ที่มีการสร้างจริงด้วยวัสดุจริงข้างล่างทำให้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นพอขึ้นไปทำบนชั้นจริงอาจ จะมีข้อขัดแย้งบ้างแต่น้อยมากส่วนแบบนำจะมีปัญหาน้อยลง เนื่องจากแบบถูกแก้ไปแล้วในLab Room ทั้งนี้ผู้บริหารแสงฟ้าฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดวัสดุสูญเสีย (Waste) ที่เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดหรือแบบผิดในโครงการนี้ประมาณ 10 ล้านบาทพร้อมกันนี้ แสงฟ้าฯได้ตั้งเป้าสู่การเป็น Zero Defect ซึ่งจากประสบการณ์ที่แสงฟ้าฯได้ทำงานก่อสร้างในโครงการอื่นๆ ห้องจำนวน100 ห้อง อาจจะมี Zero Defect ประมาณ 10 ห้องที่ลูกค้ารับไว้ แต่
ในโครงการนี้คาดว่าจะมี Zero Defect ไม่น้อยกว่า 50% จากทั้งหมด
กว่า 300 ห้องซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ค่อนข้างมาก

มุมมองของผู้ควบคุมงานโดยทั่วไป

บทบาทหน้าที่ของที่ปรึกษา คือ การตรวจสอบและควบคุมงานแต่ในการทำงานแบบ Single Team ที่ปรึกษาและผู้รับเหมาจะต้องทำงานไปด้วยกันในโครงการนี้มีการทำ Shop Drawing ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมาที่จะต้องทำให้เสร็จเพื่ออนุมัติ ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ทีมที่ปรึกษาก็จะเข้าไปประกบในการทำ Shop Drawing โดยให้ข้อมูลทั้งหมดแก่ผู้รับเหมา รวมทั้งสอบถามผู้ออกแบบ ทำให้ Shop Drawing ทำได้เร็วขึ้นในส่วนของงานเอกสารต่างๆ ที่ปรึกษาก็จะทำงานคู่ขนานไปกับผู้รับเหมายกตัวอย่างการทำLab Room จะมีแผนการทำงานรายชั่วโมงทางที่ปรึกษาก็จะเข้าไปตรวจสอบเป็นรายชั่วโมง ทำให้เวลาที่ใช้ในการรอคอยลดลง จะเห็นได้ว่าการทำงานแบบ Single Team นี้ทำให้ที่ปรึกษาได้เข้าไปช่วยงานของผู้รับเหมาเสมือนเป็นทีมเดียวกับผู้รับเหมาส่งผลให้งานที่ปรึกษาน้อยลงเพราะมีผู้รับเหมาเข้ามาช่วย จากเดิมที่มีทีมที่ปรึกษา 10คนขณะนี้มีทีมที่ปรึกษาทั้งหมด 30 คนรวมทั้งผู้รับเหมาด้วยประโยชน์ที่ได้จากการทำงานแบบ Single Team คือ ลดระยะเวลาการก่อสร้าง และทำให้งานของที่ปรึกษาลดน้อยลง ที่สำคัญที่สุด คือได้คุณภาพงานที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้รับเหมาเห็นว่าเป็นทีมเดียวกันแล้วการปกปิดจะไม่เกิดขึ้นทำให้ต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกันทำให้ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีโครงการนี้นับเป็นโครงการแรกที่ TACE ทำงานแบบ Single Team ตามนโยบายของเจ้าของโครงการ ทั้งนี TACE สามารถนำแนวคิดการทำงานแบบ Single Team ไปปรับใช้ในโครงการอื่นๆ โดยเสนอแนะถึงประโยชน์ของการทำงานแบบคู่ขนานระหว่างที่ปรึกษากับผู้รับเหมา
เนื่องจากผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการทำโครงการนี้

Mat Foundation ใช้คอนกรีต 8,413 ลบ.ม. เสร็จเร็วกว่าแผนถึง 8 ชั่วโมง

การเทคอนกรีตฐานรากของโครงการแม่น้ำเรสชิเดนท์ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นการเทคอนกรีตฐานรากภายในครั้งเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บริษัทผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ผู้ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จซีแพค (CPAC) เคยทำมาตลอดระยะเวลา 60 ปี โดยเริ่มเทในวันที่ 13 กันยายน 2557 เวลา 22.00 น.และเสร็จในวันที่ 14 กันยายน 2557 เวลา 14.00 น โดยใช้คอนกรีตทั้งหมด 8,413 ลบ.ม. รวมใช้ระยะเวลาในการเทคอนกรีตทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง ซึ่งเสร็จเร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึง 8 ชั่วโมง เฉลี่ยใช้เวลาในการเทคอนกรีต 565 ลบ.ม/ชั่วโมง โดยมีอัตราการเทคอนกรีตสูงสุดที่795 ลบ.ม/ชั่วโมงนับเป็นการสร้างสถิติใหม่ในการเทคอนกรีตต่อชั่วโมงสูงสุดในวงการก่อสร้างของไทยความสำเร็จที่ได้มาในครั้งนี้นั้น เกิดจากการทำงานแบบ Single Team ซึ่งประกอบด้วย บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด บริษัท วิศวกรที่ ปรึกษาต่อตระกูล ยมนาคและคณะ (TACE)บริษัทผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ผู้ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จซีแพค(CPAC)และเจ้าของโครงการ ที่ได้วางแผนงานร่วมกันโดยทุกฝ่ายช่วยกันคิดค้นวิธีการและรายละเอียดต่างๆโดยมีเป้าหมายที่จะเทคอนกรีตภายในครั้งเดียวให้รวดเร็วและกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุดในส่วนของบริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ผู้ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จซีแพค (CPAC) ในเครือ SCG ผู้ดูแลคอนกรีตที่ใช้เทฐานรากของโครงการที่มากกว่า 8,000 ลบ.ม. ได้คิดค้นคอนกรีตสูตรพิเศษ ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ โดยเน้นให้คอนกรีตไหลตัวได้ดี ไม่เป็นโพรง และมีอุณหภูมิต่ำเพราะเป็นการเทคอนกรีตในปริมาณที่มากทำให้อุณหภูมิภายในคอนกรีตสูงถึง 73 c° อาจส่งผลให้คอนกรีตแตกหรือร้าวได้ง่ายโดยการเทคอนกรีตในครั้งนี้ได้อาศัยโรงงานขนส่งจำนวน 25 โรง และโรงงานภายในไซต์อีก 1 โรง ซึ่งภายในไซต์งานจะมีรถปั๊มคอนกรีตจำนวน 4 คันและมีเผื่อสำรองอีก 2 คันเพื่อให้การเทคอนกรีตได้ต่อเนื่องตามอัตราที่วางแผนไว้สำหรับบริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด ซึ่งถือเป็นแม่งานในครั้งนี้ได้เตรียมการรองรับการเทคอนกรีตครั้งนี้ตั้งแต่การวางแผนผูกเหล็ก ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกโดยเจ้าของโครงการ ร่วมกับบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มทาทา สตีล ประเทศอินเดียสั่งตัดเหล็กสำเร็จรูปที่จะใช้ในงานฐานรากมาให้ ทำให้การผูกเหล็กรวดเร็วขึ้น ส่วนการทำPlatform เพื่อรับรถปูนได้ร่วมมือกับทาง Stanpile ทำ Stanchion King Post เพื่อลดเวลาการทำ Platform ในวันที่เทคอนกรีตโดยแสงฟ้าฯได้แบ่งทีมงานออกเป็น 12ชุด มีคนงาน 152 คนต่อกะ มีคนงาน 250 คน มีโฟร์แมนควบคุม 4 จุด แบ่งงานชัดเจน มีีเจ้าหน้าที่ Safety คอยประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลจราจรทั้งภายในและถนนโดยรอบโครงการมีชุดทำความสะอาดพื้นถนนตลอดเวลาในช่วงก่อนจะถึงวันที่เทจริงทีมงานทุกฝ่ายได้มีการประชุมเตรียมความพร้อม และค้นหาปัญหาที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งแนวทางการป้องกัน เช่น ถ้าฝนตก รถปูนจะสามารถวิ่งขึ้น Platform ได้หรือไม่ ถ้าเกิดฝนตกหนักจะป้องกันน้ำที่ไหลลงฐานรากได้อย่างไร การจราจรภายในถ้าหากรถเสียจะทำอย่างไร จากการที่ทีมงานทุกฝ่ายได้มีการ เตรียมความพร้อมวางแผนและชักซ้อมในทุกขั้นตอนส่งผลให้การเทฐานรากครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง

อาคารแรกในไทยที่ใช้คานรัดเข็มขัด (Outrigger & BeltTruss) 3 เส้น

โครงการแม่น้ำเรสชิเดนท์ เป็นอาคาร 54 ชั้น มีความสูง 239 เมตร นอกจากโครงการฯ จะคำนึงถึงการก่อสร้างให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวเช่นเดียวกับอาคารตึกสูงทั่วไปแล้ว โครงการฯ ยังให้ความสำคัญกับการโยกเอียงของตึกด้วยการก่อสร้างอาคารที่โยกเอียงได้โดยที่ผู้อยู่อาศัยจะไม่รู้สึกเวียนหัวเมื่อตึกต้องปะทะกับแรงลมโดยได้นำอาคารเข้าทดสอบอุโมงค์ลมกับสถาบัน AIT (Asian Institute of Technology)ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นอุโมงค์ลมที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงและการสั่นไหวของอาคารในการทดสอบอุโมงค์ลม

ทางโครงการฯ ได้ทำโมเดลตึกและบริเวณโดยรอบขึ้นมาแล้วเป่าลมไปที่ตัวตึกโดยใช้ลมที่มีความแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในรอบ 50 ปีอัดเข้าในตัวตึก จากนั้นทำการหมุนตึกทีละแกน เพื่อสังเกตตึกขณะที่โดนแรงลมพร้อมทั้งนำเกจ มาวัดบริเวณด้านใต้ตึก เพื่อพิสูจน์การโยกของตัวตึก จึงพบว่าระบบ Outrigger & BeltTuss ที่นำมาใช้นั้นช่วยให้อาคารสั่นไหวน้อยมากโดยระบบมีลักษณะเหมือนการนำเข็มขัดปูนขนาดใหญ่มาคาดอาคารไว้ทั้งหมด 3ชั้น ซึ่งจะคาดผ่านเสาของโครงการฯ ทุกต้น ประกอบด้วย ปูนความหนา 5.50 เมตร 1 เส้นใต้สระว่ายน้ำปูนความหนา 3 เมตร ที่ชั้น 39 และปูนความหนา3 เมตรที่ชั้นดาดฟ้า ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานมาก ซึ่งการทำในลักษณะนี้จะช่วยกระจายแรงลมที่มาปะทะตึกไปยังเสาส่วนต่างได้ดีขึ้น ผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกถึงความสั่นไหวได้น้อยลงเมื่อเทียบกับอาคารสูงทั่วไปในเวลาที่เกิดลมพัดแรง นอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของการป้องกันความเสียหายของตึกในกรณีที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้อีกด้วย

Source : https://www.tace.co.th/new/wp-content/uploads/2019/11/บทความ-แนวคิดการทำงานแบบ-Single-Team.pdf